วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

Uncountable Noun

Uncountable Noun

เรียกอีกอย่างว่า Mass Noun คือคำนามที่ไม่สามารถนับได้ เพราะเป็นสิ่งที่มีมากมาย จนไม่สามารถที่จะมานับได้ไหว แลบางอย่างยังมีรูปร่างไม่คงที่หรือจับต้องไม่ได้อีกด้วย

ดังนั้นจึงกำหนดให้มีรูปเป็นเอกพจน์เท่านั้น

ลักษณะของ Uncountable Noun

1. สิ่งที่มีมากมายจนไม่สามารถนับได้ เช่น Sugar เนื่องจากน้ำตาลเม็ดเล็กมากเราไม่สามารถนับได้ หรือยากมากที่จะนับ เป็นต้น

2. สื่งที่มีรูปร่างไม่คงที่ เช่น น้ำ (water) น้ำมีรูปร่างที่ไม่คงที่เพราะจะเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ เราจึงไม่สามารถนับน้ำได้

3. สิ่งที่เป็นนามธรรม เช่นพวกความรู้สึกต่างๆเราไม่สามารถหยิบจับได้เช่น Like ชอบ hate เกลียด เป็นต้น

การที่เราจะทำให้ คำนามนับไม่ได้ นับได้นั้น จะต้องมีคำบ่งชี้(Deteminer) บางตัวนำหน้า คำเหล่านี้ ได้แก่ some , any , a little , much ตัวอย่าง

I’ve much sugar ฉันมีน้ำตาลอยู่มาก

เป็นต้น

และในบางอย่างเราสามารถนำภาชนะหรือหน่วยนับสิ่งของมานับได้ เช่น

- a bottom of water น้ำ 1 ขวด

- ฟa cup of tea ชา 1 ถ้วย

- เป็นต้น

Uncountable Noun เป็นรูปเอกพจน์ดังนั้นจึงใช้กับ กริยาที่เป็นเอกพจน์ เช่น

-The new is very important เป็นต้น

 

image

 

ภาพจาก http://www.thainavy21.com

Countable Noun

Countable Noun หรือนามนับได้ เป็นนามที่เป็นรูปธรรมสามารถสังเกตได้ เช่น cat (แมว) , pen (ปากกา) ๆลๆ

โดยอาจจะมีจำนวนระบุอยู่เช่น 1 ตัว 2 ตัว หรือ 1 ด้าม 2 ด้าม ๆลๆ

Countable noun สามารเป็นได้ทั้งเอกพจน์(จำนวนที่มี 1 เดียว) และพหูพจน์(จำนวนที่มากกว่า 1 ) เมื่อนามนับได้อยู่ในรูปเอกพจน์ เรามักใช้คำนำหน้านาม a,an,the นำหน้า

เช่น

-A dog

-a cat

ๆลๆ

เมื่อคำนามอยู่ในรูปพหูพจน์ราสามารถละ article ได้ แต่ต้องเปลี่ยนให้อยูในรูปพหูพจน์ โดยการเติม s ที่หลังคำนาม

เช่น

I hate Dogs.

They are Students.

นอกเหนือจากที่กล่าวข้างต้นเรายังสมารถใช้ some any a few many เพื่อให้เห็นว่าคำนามอยู่ในรูปพหูพจน์

เช่น

I’ve got a few dollars. (ฉันมีเงินดอลลาห์นิดหน่อย)

 

หลักการเปลี่ยนคำเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

1. คำนามที่ลงท้ายด้วย s ,ss ,x ,sh ,ch และ z ให้เติม es

2. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะให้เติม es ยำเว้นบางคำที่สามารเติม s ได้เลย pianos , memos , solos, photos

3. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย o และหน้า o เป็นสระให้เติม s ได้เลย

4. คำนามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es

5. คำนามที่ลงท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระให้เติม s ได้เลย

6. คำนามเอกพจน์ที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe นั้นเป็น v ก่อนแล้วจึงเติม es

7. จากข้อ 6 หากหน้า f หรือ fe เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย

8. นามเอกพจน์ที่เปลี่ยนรูปเป็นพหูพจน์ อาทิ man > men , foot > feet

9. คำนามบางคำมีรูปเหมือนกันทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น fish, swine ๆลๆ

10. บางคำเป็นพหูพจน์แต่ต้องใช้เป็นเอกพจน์เสมอ เช่น news,tactics ๆลๆ

 

image

ภาพจาก http://www.student.chula.ac.th

 

Technorati Tags: ,,,

คำนาม (Noun)

คำนาม

คือคำที่ใช้เรียก แทนชื่อ คน ,สัตว์,สิ่งของ,และสถานที่

 

คำนามแบ่งเป็น 2 ชนิดหลักๆ

1.      นามนับได้ (Countable Noun )  คือนามที่สามารถนับได้  เช่น ant ,cat ,dog เป็นต้น  โดย สัตว์เราจะเรียกเป็นตัว สิ่งของจะเรียกเป็นอัน หรือ ชิ้นเป็นต้น

2.      นามนับไม่ได้ (Uncountable Noun )  คือ นามที่ไม่สามารถนับเป็นเลขได้  เช่น water ,milk ซึ่งเราไม่สามารถนับมันได้ ยกเว้นว่า จะมีภาชนะมารองรับ

 

หน้าที่ของคำนาม

1.      เป็นประธานของประโยค

2.      ขยายประธานของประโยค

3.      เป็นกรรมตรงของกริยา

4.      เป็นกรรมรองของกริยา

5.      เป็นตัวขยายกรรม

6.      เป็นกรรมตามหลังบุพบท

7.      เป็นตัวขยายประธาน

8.      เป็นนามขยายนาม

9.      เป็นคำเรียกขาน

 

*คำนามมักจะลงท้ายด้วย  -ity  --ment  -ness  -ation  -hood  -ship 

*Noun มักจะตามหลัง Article  a an the เพื่อบอกให้ทราบจำนวน

เช่น

-A cat แมวตัวหนึ่ง

-A toy ของเล่นชิ้นหนึ่ง

-The room  ห้องหนึ่ง(เจาะจงว่าห้องไหน)

 

*Noun มักตามหลัง Demonstrative Adjective This(นี้) That(นั่น)  These(เหล่านี้) Those(เหล่านั้น) เพื่อบอกให้ทราบจำนวนและระยะทางของสิ่งที่พูดถึงเช่น

-This  pen ปากกา 1 ด้ามนี้

-These pens  ปากกาหลายด้ามเหล่านี้

-That  pen   ปากกา 1 ดามเล่มนั้น

-Those book  ปากกาหลายด้ามเหลานั้น

 

*Non มักตามหลงคำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ

            -My   book      หนังสือของฉัน

            -Your   books  หนังสือหลายเล่มของคุณ

 

*Noun   มักตามหลังคำบอกลักษณะ (adjective)

            -The red flower            ดอกไม้สีแดงดอกนั้น

            -my  green pen            ดินสอสีแดงของฉัน

image

 

ภาพจาก  http://ctlgbtlaw.files.wordpress.com

 

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

ข้อควรรู้ก่อนการเรียนภาษาอังกฤษ


image







ข้อควรรู้ก่อนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษนั้นมี ตัวอักษรอยู่ทั้งหมด 26 ตัว โดยจะมีตัวใหญ่และตัวเล็ก


อักษรภาษาอังกฤษ ตัวใหญ่
A เอ
B บี
C ซี
D ดี
E อี
F เอฟ
G จี
H เอช
I ไอ
J เจ
K เค
L แอล
M เอ็ม
N เอ็น
O โอ
P พี
Q คิว
R อาร์
S เอส
T ที
U ยู
V วี
W ดับเบิลยู
X เอ็กซ์
Y วาย
Z แซด(ซี)
 


อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็ก
a เอ
b บี
c ซี
d ดี
e อี
f เอฟ
g จี
h เอช
i ไอ
j เจ
k เค
l แอล
m เอ็ม
n เอ็น
o โอ
p พี
q คิว
r อาร์
s เอส
t ที
u ยู
v วี
w ดับเบิลยู
x เอ็กซ์
y วาย
z แซด(ซี)
 


นอกจากนี้ยังมีตัวเขียนอีกด้วยแต่ ในส่วนของตัวเขียนนั้น จะกล่าวกันทีหลัง




















สำหรับอักษรภาษาอังกฤษนั้นหากนำมาเทียบกับภาษาไทย จะได้ดังนี้
พยัญชนะ
ตรงกับ
B

C
,
D

F

G
,
H
,
J
,
K
,
L

M

N
,
P

Q
คว
R

S
,,,
T
,
V

W

X
,กซ
Y

Z








ส่วน AEIOU นั้นเป็นสระ
สระ
คำอ่าน
A
แอ หรือ อา
E
สระเอ หรือ อี
I
สระอิ หรือ ไอ
O
สระ โอ หรือ ออ
U
สระอุ หรือ ไม้หันหน้ากาศ


การอ่านภาษาอังกฤษ เช่น
Can   ตัว a แทนด้วย สระ แอ และตัว n แทนด้วย น
Big    ตัว I แทนด้วย อิ ตัว b แทนด้วย บ ตัว g แทนด้วย ก
เป็นต้นโดยสังเกตุว่าสระมักจะอยู่หลังตัวพยัญชนะ




คำประเภทต่างๆในภาษาอังกฤษ
คำ
คำอ่าน
คำแปล
Noun
นาว
คำนาม
Adjective  
แอ็ดเจ็ททีฟ
คำคุณศัพท์
Pronoun
โพนาว
คำสรรพนาม
Preposition
พิโพสิชัน
คำบุพบท
Verb
เวิร์บ
คำกริยา
Conjunction
คอนจังชัน
คำสันธาน
Adverb
แอ็ดเวิร์บ
คำกริยาวิเศษณ์
Interjection
อินเตอร์เจ็ทชัน
คำอุทาน